นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๒ สรุปดังนี้
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Summit) ครั้งที่ 2 ซึ่งมีผู้นำและผู้แทนระดับสูงของประเทศสมาชิก 34 ประเทศเข้าร่วมการประชุม ภายใต้หัวข้อหลัก ?เอเชียหนึ่งเดียว หลากหลายในพลัง? (One Asia Diverse Strengths) สะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายของ ACD ในการระดมศักยภาพและจุดแข็งที่หลากหลายในการสร้างความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียและประชาคมเอเชียที่ยั่งยืน
การรวมตัวของผู้นำ ACD ที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ ACD นับจากการก่อตั้ง ACD ในปี 2545 โดยผู้นำ ACD เห็นพ้องที่กำหนดทิศทางความร่วมมือที่ชัดเจนที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยืงยืนและครอบคลุมของเอเชียและการสร้างประชาคมเอเชียในอนาคต โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
หนึ่ง รับรองวิสัยทัศน์ความร่วมมือเอเชีย ค.ศ. 2030 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างประชาคมเอเชียในอนาคตประชุมอีก 14 ปีข้างหน้า โดยเน้นการพัฒนาความร่วมมือใน 6 เสาหลักที่สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 (SDGs) ได้แก่ (1) ความเชื่อมโยง (2) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม (3) การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4) ความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และน้ำ (5) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว (6) การส่งเสริมแนวทางสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน
สอง รับรองปฏิญญากรุงเทพฯ และแผนปฏิบัติการพิมพ์เขียวระยะ 5 ปี (ค.ศ. 2017 - 2021) เพื่อพัฒนาวิสัยทัศน์ร่วมไปสู่การปฏิบัติ โดยแผนปฏิบัติการพิมพ์เขียวดังกล่าวเป็นข้อเสนอแนะให้ประเทศสมาชิกใช้เป็นแนวทางในการดำเนินความร่วมมือใน 6 เสาหลักของ ACD ให้เป็นรูปธรรม
โดยไทยขอขอบคุณประเทศสมาชิกต่างๆ ที่เสนอตัวเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักในสาขาต่างๆ อาทิ จีนและยูเออีในสาขาความมั่นคงด้านอาหาร น้ำและพลังงาน เกาหลีใต้ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม อิหร่านในด้านวัฒธรรมและการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยทุกประเทศจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันและกำหนดแผนการทำงาน รวมทั้งกรอบเวลาต่อไป โดยจะรายงานผลในช่วงการประชุมระดับรัฐมนตรี ACD ในช่วงเดือนกันยายนปีหน้า
ทั้งนี้ ไทยเสนอตัวเป็นผู้ขับเคลื่อนในด้านการส่งเสริมแนวทางสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ โดยจะนำเสนอประสบการณ์ในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางในการพัฒนาที่ประสบความสำเร็จในบริบทต่างๆ ขณะที่ประเทศเช่นภูฏานจะนำเสนอเรื่องความสุขมวลรวมประชาชาติ เป็นต้น
สาม รับรองแถลงการณ์ ACD ประกาศบทบาทของเอเชียในการกระตุ้นการเติบโตผ่านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเชื่อมโยง เพื่อย้ำถึงบทบาทและโอกาสของเอเชียในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญที่เศรษฐกิจโลกกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ขณะที่ยังต้องเผชิญกับความผันผวนและความท้าทายต่างๆ ที่ประชุมเชื่อมั่นว่า เอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพและความแข็งแกร่ง และเป็นช่วงเวลาแห่ง ?ศตวรรษของเอเชีย? ในฐานะเป็นตัวเร่งพลวัตการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก โดย ACD เป็นกรอบความร่วมมือที่มีศักยภาพและสามารถใช้จุดแข็งและพลังที่หลากหลายของประเทศสมาชิกเพื่อประโยชน์ร่วมกันได้
ไทยได้เสนอที่จะทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกและทุกภาคส่วนเพื่อจัดตั้งกลไกการทำงานเพื่อกระตุ้นพลวัตการเติบโต (Sub-Working Group on Reigniting Growth) ภายใต้เสาหลักด้านความเชื่อมโยง อย่างเป็นรูปธรรมภายในการประชุมรัฐมนตรี ACD คู่ขนานการประชุม UNGA72 เดือนกันยายน ๒๕๖๐ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในด้านดังกล่าวต่อไป
สี่ เห็นพ้องกับการจัดตั้งสำนักเลขาธิการ ACD ขึ้น ที่คูเวต เพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมการดำเนินงานของ ACD โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก การจัดประชุมและกิจกรรมต่างๆ ในรอบปี โดยขอบคุณคูเวตในฐานะประเทศที่ตั้งของสำนักเลขาธิการ ACD และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการ ACD ต่อไป
ทั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้นำ ACD มีโอกาสได้รับฟังข้อเสนอแนะของตัวแทนภาคเอกชนจากเวที ACD Connect 2016 Business Forum ซึ่งได้เสนอแนวทางความร่วมมือภาครัฐ-เอกชนในการพัฒนาเอเชียในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางการเงินผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ FinTech รวมทั้งการเร่งระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคจากแหล่งเงินทุนสำคัญต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเอเชีย
การส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน (Public-Private-People Partnership ? 4Ps) เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ผู้นำเห็นควรผลักดันในการดำเนินความร่วมมือในกรอบ ACD ให้เข้มแข็งมากขึ้น โดยเห็นว่า ACD จะต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคประชาชนซึ่งถือเป็นหนึ่งในกำลังหลักที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือในประเทศและภูมิภาคเอเชีย โดยภูมิภาคของเราจะไม่ทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลัง แต่จะก้าวไปข้างหน้าไปด้วยกัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุมขอบคุณและชื่นชมการเป็นเจ้าภาพและบทบาทของไทยใน ACD ซึ่งเป็นการเพิ่มพลวัตอย่างมีนัยสำคัญ และขอบคุณยูเออีในฐานะประธานใหม่ของ ACD ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพของยูเออีในการจัดการประชุมรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ 15 ณ กรุงอาบูดาบี ในเดือนมกราคม 2560เพื่อต่อยอดมติสำคัญของการประชุม ACD Summit ในครั้งนี้ โดยเน้นความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนในภูมิภาค ACD นอกจากนี้ ที่ประชุมได้แสดงความยินดีอย่างยิ่งที่อิหร่านจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACD Summit ครั้งที่ 3 ในปี 2561 ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการติดตามผลการประชุม ACD Summit ที่กรุงเทพฯ ต่อไป
Submit to FacebookSubmit to Google PlusSubmit to TwitterShare with friendsPrint this page

เกี่ยวกับหน่วยงานต่างๆ